ประวัติความเป็นมา
บ้านมหาไชยตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2346 มีอาณาเขตกว้างขวางมาก ทิศเหนือจดเทือกเขาภูพาน ทิศตะวันออกจดลำห้วยหมากพริก ทิศใต้จดเขตบ้านหมูม่น ทิศตะวันตกจดลำห้วยสังเคียบ หนองน้ำมีบึงกระแด นอกนั้นอาศัยหากินตามลำห้วยหมากพริก ห้วยสังเคียบและห้วยนาแซงที่ติดกับบ้านมหาไชย สภาพพื้นที่เป็นป่าดงดิบมีต้นไม้ใหญ่คือ ไม้เต็ง ไม้แดง ไม้ประดู่และไม้กระยาเลย ซึ่งสมัยก่อนยังเห็นต้นไม้ใหญ่และตอไม้อยู่ตามหมู่บ้าน ที่ราบลุ่มพอทำนาได้สมัยนั้นคือ นาแวง นาสิทธิ์ นาหนองถ่ม นาแซง แต่ก่อนบ้านที่ยังไม่มีคือบ้านอู้ บ้านบาก บ้านเหล่าตำแย บ้านคำหม่วย บ้านโคกกว้าง และบ้านดงบัง บ้านเหล่านี้ยังไม่ได้ตั้งขึ้น แต่ก่อนจะมีบ้านก็คือบ้านแซงบาดาล บ้านแซงบาดาลตั้งขึ้นครั้งแรกอยู่ที่ทิศเหนือของบึงบาดาลเรียกว่า บ้านกุดดอกซ้อน บ้านกุดดอกซ้อนเกิดเดือดร้อนจึงย้ายมาตั้งบ้านแซงบาดาล เป็นเมืองแซงบาดาล เอานามบึงบาดาลไม่ใช้ มีเจ้าเมืองอยู่ บ้านหมูม่น บ้านกอก บ้านบอน นอกนั้นยังไม่มีบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันมีแต่บ้านร้าง คือบ้านหนองสันเทพที่เป็นป่าช้าของบ้านมหาไชยทุกวันนี้ แต่ก่อนชาวบ้านมหาไชยจะไปเก็บมะม่วงที่บ้านร้าง มีมะม่วงคำ มะม่วงจำปา มะม่วงกะสอ มะม่วงแก้วซึ่งมีหลายต้นและจะมีต้นโพธิ์มีกุดกอง คือที่มาของกุดกองทุกวันนี้ ที่บ้านเหล่าภูพาน บ้านบากก็มีบ้านดอนงู บ้านจะคาม บ้านไผ่ล้อม บ้านกกกอกและก็ย้ายไปอยู่บ้านกอกทุกวันนี้ สถานที่สำคัญก็มีภูแกลบกับภูพระเจ้า สองวัดนี้จะมีพระพุทธรูปอยู่มากคือที่วัดภูแกลบ ส่วนภูพระเจ้าจะมีพระพุทธรูปองค์เดียวแต่องค์ใหญ่เคยนำมาให้ชาวบ้านบูชาที่วัดถ้ำแกลบ แล้วส่งคืนที่ถ้ำแต่มีผู้ทำไม่ดีไปตัดแขน ขา หาทองคำจึงมีสภาพเสียหายแต่ยังคงความสมบูรณ์บ้างจนถึงทุกวันนี้ และอีกที่หนึ่งคือน้ำตกผาหลี่ แต่ก่อนผาหลี่จะมีลิ้นยื่นออกมาน้ำตกใส่ลิ้นจะเกิดเสียงดัง เวลาฤดูฝนใกล้จะหมดจะได้ยินเสียงดังไปไกล ทำให้ชาวบ้านเริ่มที่จะนำน้ำเข้านาเพราะหมายความว่าน้ำใกล้จะหมดแล้ว แต่มีผู้มือบอนว่าลิ้นผาหลี่นี้เสียงดังจึงเอาก้อนหินไปทุบลิ้นหักจะได้ไม่ได้ยินเสียงให้ชาวบ้านหนวกหู ซึ่งก็คือมหากิ ศรีสุราช พ่อของมหาอิน ศรีสุราชนั่นเอง สำหรับบ้านมหาไชยผู้ก่อตั้งคนแรกคือ พ่อทำ นามสกุลสุวรรณกุมาร ทุกวันนี้คือนามสกุลจันทะขึ้น มาจากบ้านหนองยางใต้และมหาสุธรรม นามสกุลโพธิสาร ทุกวันนี้คือนามสกุลธรรมประชา มาจากบ้านหนองยางเหนือ สาเหตุที่ได้มาตั้งบ้านนี้ก็คือทั้งสองท่านมาเยี่ยมญาติพี่น้องเมืองแซงบาดาลซึ่งสมัยนั้นเป็นเจ้าเมืองแซงบาดาล พ่อทำ สุวรรณกุมารกับลูกสองคน คือ ยายทาและปู่ทิ สุวรรณกุมารยังเป็นเด็กเล็กอยู่ได้ปักเอาที่ดินที่อยู่อาศัยกว้างขวางจากบ้านจดนาแซง นายสุริยธรรมเอานาโพธิ์ทุกวันนี้ พ่อทำเอานาหนองถ่มอีก แต่ก่อนคนเราไม่มีเครื่องมือทำการเกษตร ไม่มีจอบไม่มีขวานไม่มีมีด ทำไร่ทำสวนก็เอาตามไฟไหม้แล้วหว่านข่าวปลูก ข้าวไร่ พริกพอได้กินเท่านั้น เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่มีใส่ มีใส่แค่ผืนเดียวเท่านั้นเวลาอาบน้ำก็แก้ผ้าอาบทั้งชายและหญิง บ้านมหาไชยตั้งมาได้ประมาณสิบกว่าปีจึงมีลาวบ้านวังบอนมาอยู่ด้วยคืออยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของบ้านมหาไชย ลาวบ้านวังบอนตั้งอยู่ที่ฝั่งห้วยพริก ที่ตั้งบ้านดงบังทุกวันนี้ จะเห็นต้นมะม่วงหลายต้นอยู่ที่นั่น พอสร้างโรงเรียนดงบังจึงถูกทำลายลง สร้างอาคารวันเดียวตอนนั้นคุณตาวีระ จันทะขึ้นยังเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอยู่ และอาจารย์มานะ พลไกรสรเป็นอาจารย์ใหญ่ ลาวบ้านวังบอนมีผิวสีดำแดง หัวล้านบ้างคือนามสกุล จันทร์สะอาด จันทะวิชัย และสิงหาวาสน์ ได้เข้ามาอยู่บ้านมหาไชยด้วย และอีกพวกหนึ่งคือนามสกุลดวงจักร์ และวิชัย มาจากบ้านโพนสวาง พวกหนึ่งมาจากเมืองภูแล่นช้างคือ นามสกุลศรีพอ และตาดวงษ์ นามสกุลแสนตาแสงมาจากหนองส่านและบ้านแก้งมดแดง ปัจจุบันบ้านแก้งมดแดงอยู่ที่ภูเขาหลุบพุง แต่ก่อนหลุบพุงหนาวมากและห่างไกลจากหมู่บ้านอื่นมาก บ้านมหาไชยเมื่อลาวบ้านวังบอนมาอยู่ร่วมแล้วเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในสมัยนั้นจึงตั้งวัดขึ้นทางทิศตะวันตกของบ้านแต่ก่อนจะเห็นต้นมะพร้าวสูงใหญ่มาก อยู่ที่บ้านครูกง จันทะขึ้นหรือที่ของนางสุวรรณา ธรรมประชาลูกสาวครูกง น้องของพ่อคุณตาวีระ จันทะขึ้น จะเรียกชื่อว่าไห่หอกองจนถึงทุกวันนี้ อยู่มาชาวบ้านเห็นว่าวัดอยู่ใต้บ้านไม่เหมาะสมเพราะว่าเวลาทำอาหารตอนเย็นจะส่งกลิ่นไปยังพระคุณเจ้าจึงย้ายวัดตั้งใหม่ที่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน แต่ก่อนบ้านเหนือ(หมู่ 3 ปัจจุบัน)ยังไม่มี จะเป็นป่าดงดิบ บ้านมหาไชยนับถือศาสนาพุทธทุกครอบครัว มีหลวงพ่อเตย เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกและมรณภาพคาผ้าเหลืองชาวบ้านจึงหามไปป่าช้าหนองสันเทพแต่ไปไม่ถึงศพพระขาดลงที่ดอนตาเตย เราจึงเรียกดอนตาเตยจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นที่บริเวณโรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยาทุกวันนี้ บ้านมหาไชยเรียกตาแสงเป็นผู้ใหญ่บ้าน คือ ปู่ทิศคำฝนเป็นพ่อของพ่อสิงห์ ธรรมประชา เป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีเงินเดือนแต่มีอำนาจมาก มีโปลิสอยู่ 2 คนคือ โปลิสอัวะ จันทะวิชัยและโปลิสป้อ สิงหาวาสน์ ร่างใหญ่ผิวดำหัวล้าน ครูเกรงกลัวมีอำนาจมากซึ่งก็คือตำรวจในปัจจุบันนี้ บ้านมหาไชยเป็นตำบลมหาไชย ขึ้นกับอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมานายคำฝนเสียชีวิตลงจึงเลือกตั้งนายทน ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน สมัยก่อนกำนันทางการเขาแต่งตั้งมาเลยโดยนายหงษ์ สุภาพิษชาวบ้านอู้เป็นกำนันตำบลมหาไชยอยู่ที่บ้านอู้ ทางการแต่งตั้งให้นายคูณ ภาวะภูตานนท์เป็นกำนันตำบลมหาไชย กำนันคูณใช้มาตั้งบ้านอยู่ที่บ้านกอก นายคูณตายช่วงนั้นบ้านมหาไชยแบ่งออกเป็น 2 หมู่ หมู่ที่ 12 เลือกเอามหาชา ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต่อมานายคูณตาย ได้เอานายด้วง จันทะขึ้นแทนชั่วคราวเรียกว่า ขุนอักษร หรือขุนจางวาง ถึงช่วงนี้เกิดการสับสนขุนนราได้ขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านเรียกว่าขุนนรา พันธุขันธ์ อยู่มาไม่นานให้มหาอุทัย จรศรชัย รักษาการแทนชั่วคราวจากนั้นทางการได้แต่งตั้งให้นายชา ธรรมประชาเป็นกำนันตำบลมหาไชย และเปลี่ยนชื่อเป็น ขุนมหาไชยจนเสียชีวิต นายพินิจ ด้วงมหาไชยเป็นกำนันจึงขอเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลแซงบาดาล ให้นายอิน จรศรชัยเป็นผู้ใหญ่บ้าน นายทน ธรรมประชาให้นายกร จันทะขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 นายอินตาย จึงแต่งตั้งนายกึ้น จันทร์สะอาด หมู่ที่ 8 แทน นายกึ้นเมื่อก่อนเป็นผู้ใหญ่บ้านหนองแสงน้อย หลังจากนายกรตาย ได้เลือกนายไหล พันธุขันธ์เป็นผู้ใหญ่บ้าน นายไหลตายได้เลือกนายสุภาพ ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านจนเกษียณอายุ ได้เลือกตั้งนายสำเร็จ ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านโดยกำหนดวาระ 5 ปี แต่เป็นได้ปีเศษก็ขอลาออกจากตำแหน่งไปดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลมหาไชย ได้มีการเลือกนายวนิส พันธุขันธ์แทนจนครบวาระปี พ.ศ. 2545 มีการเลือกตั้งใหม่ได้นายทรงวุฒิ ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านจนถึงปัจจุบัน
การแต่งกายของชาวบ้านมหาไชยชอบใส่เสื้อสีดำ กระดุม ผู้ที่มีเงินก็ใช้สตางค์แดงและเหรียญห้าเรียงทึบสีขาว นอกนั้นตัดเป็นรูใช้ไม้ดัดรูกระดุมเอาไว้ผู้ดีมีเงินก็ทำผ้าเข็นเป็นผ้าไหม สบู่ไม่มีต้องใช้เครือน้ำมวก หมากหนามแท่งแช่ไว้ใส่ผ้าขาวหมักไว้นานๆถึงใส่ได้ เสื้อผ้าสีดำก็เอาสีธรรมชาติจากต้นครามนำมาแช่หมักไว้สี่ถึงห้าวัน และไปเอาปูนที่เป็นก้อนหินที่ภูโล้น แก้งผักหนามนำมาเผาเป็นถ่านนำก้อนปูนมาผสมกับครามที่เราหมักไว้จะได้สีดำเล่ากันว่ามือคนที่ทำจะดำหมด ต้นครามยังมีประโยชน์คือใช้เป็นปุ๋ยสำหรับใส่นาข้าว นาข้าวใครไม่งามหรือเป็นโรคเอามัดครามไปทิ้งไว้ตามที่นาที่เป็นโรค จะหายและเขียวดี เสื้อผ้าส่วนใหญ่ใช้เย็บด้วยมือเป็นหลัก สมัยก่อนใครมีจักรเย็บผ้าจะเป็นคนร่ำรวย บ่าวสาวสมัยก่อนชอบเรียนเย็บจักรกันมาก ครู อาจารย์เมื่อก่อนเงินเดือนน้อยบางคนจึงลาออกไปค้าผ้ามาขาย เงินเดือนครู 2,4,8 บาทเท่านั้น ครูก็เรียน ป.3 ,ป4.เท่านั้น คนเราจึงลงเรียนที่วัดเพราะไม่มีเงินเรียนอาศัยพระเป็นผู้สอน สมัยก่อนใครได้สามีเป็นทิด เป็นจารย์ก็ว่าดีแล้วเพราะเป็นคนมีความรู้ สมัยก่อนคนเราจึงชอบบวชมากเพื่อหาความรู้
การสร้างบ้าน ทำบ้านเมื่อก่อนก็เอาเครือมามัดพื้นก็ใช้ไม้ไผ่เปาะตามป่ามาทำ หากเอาไม้ใหญ่มาทำก็ต้องผ่าเป็นกระดานไม้ที่ทำต้องใช้มีดถากเอาทั้งนั้น กระดานมุงไม่มีตะปูตีเหมือนสมัยนี้ก็ใช้เหล็กเผาไฟเจาะเป็นรูแล้วใช้ไม้เสียบลงไปแทนตะปู
แสงสว่าง ก็ไปหาเก็บขี้ตกมาห่อทำกระบองหรือขี้ซี ขี้ครางทำเป็นโฮงแล้วจุดไฟ ผู้ที่ขยันก็จะไปเก็บขี้ยางหรือน้ำมันยางซึ่งต้นสูงใหญ่มาก ไม้พวง ไม้ชาด มาห่อผสมกับขอนดอกใบตอง
กุงห่อมัดให้แน่นลืมละ 1 บาท ลืมหนึ่งสิบเล่ม ถ้าเป็นงานบุญใหญ่ก็ทำกระบองเพ็ด โดยการอไม้ใหญ่มาผ่าสามส่วนแล้วเอาครุเก่ายัดขี้ครางใส่สามารถจุดไฟได้ตลอดคืน ใครเข้าใกล้เสื้อผ้าดำหมดเราะควันดำมาก สุราก็ทำเหล้าสาโทกินกัน หรือเหล้ากลั่นที่ทำกันขึ้นมาเอง อาหารที่ใช้ในงานบุญส่วนมากเขาจะไม่ฆ่าเนื้อเช่นทุกวันนี้แต่จะหาของป่าเลี้ยงแขก ผักก็เป็นของป่า และหาหมูป่า ฟาน(เก้ง) กวาง แลน เต่า อีเห็น เม่น ปลา กินกันจนเหลือ ถ้าเป็นบุญมหาชาติที่ต้องไปทำบุญไกลๆจะมีพระและญาติโยมตามไปมากมายทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาว เจ้าภาพจะทำผาม(เพิงหมาแหงน)ล้อมวัดหาที่นอนให้พระและญาติโยมที่มาทำบุญ ญาติโยมที่เป็นบ่าวสาวก็จะนั่งตามผามที่ทำไว้และจะมีผู้บ่าวหรือผู้สาวมานั่งเป่าแคนจีบกันบางคู่จนได้แต่งงานกันจึงเป็นที่มาของการได้เมียบ้านไกลๆ เป่าแคนจีบกันเป็นที่สนุกสนานมากไม่อึกทึกครึกโครมเช่นทุกวันนี้
การแต่งงาน สินสอดที่ใช้แต่งงานก็ไม่แพงเหมือนทุกวันนี้ ส่วนมาก 2 บาท ถ้าเป็นลูกผู้ดีมีเงินก็ไม่เกิน 12 บาท เวลาไปช่วยงานเขาจะอุ้มไก่ไปช่วยเพื่อให้นำไปฆ่าเลี่ยงแขก ถ้าหากเหลือก็ให้นำไปเลี้ยงเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวไม่มีฆ่าวัวฆ่าควายเหมือนเช่นทุกวันนี้