:
เทศบาลตำบลมหาไชย ยินดีให้บริการ โทรศัพท์ / โทรสาร (FAX) : 043-019756

ประวัติความเป็นมา

     บ้านมหาไชยตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี  พ.ศ.  2346  มีอาณาเขตกว้างขวางมาก  ทิศเหนือจดเทือกเขาภูพาน  ทิศตะวันออกจดลำห้วยหมากพริก  ทิศใต้จดเขตบ้านหมูม่น  ทิศตะวันตกจดลำห้วยสังเคียบ  หนองน้ำมีบึงกระแด  นอกนั้นอาศัยหากินตามลำห้วยหมากพริก  ห้วยสังเคียบและห้วยนาแซงที่ติดกับบ้านมหาไชย  สภาพพื้นที่เป็นป่าดงดิบมีต้นไม้ใหญ่คือ  ไม้เต็ง  ไม้แดง  ไม้ประดู่และไม้กระยาเลย  ซึ่งสมัยก่อนยังเห็นต้นไม้ใหญ่และตอไม้อยู่ตามหมู่บ้าน  ที่ราบลุ่มพอทำนาได้สมัยนั้นคือ  นาแวง  นาสิทธิ์  นาหนองถ่ม  นาแซง  แต่ก่อนบ้านที่ยังไม่มีคือบ้านอู้  บ้านบาก  บ้านเหล่าตำแย  บ้านคำหม่วย  บ้านโคกกว้าง  และบ้านดงบัง  บ้านเหล่านี้ยังไม่ได้ตั้งขึ้น  แต่ก่อนจะมีบ้านก็คือบ้านแซงบาดาล  บ้านแซงบาดาลตั้งขึ้นครั้งแรกอยู่ที่ทิศเหนือของบึงบาดาลเรียกว่า  บ้านกุดดอกซ้อน  บ้านกุดดอกซ้อนเกิดเดือดร้อนจึงย้ายมาตั้งบ้านแซงบาดาล  เป็นเมืองแซงบาดาล  เอานามบึงบาดาลไม่ใช้  มีเจ้าเมืองอยู่  บ้านหมูม่น  บ้านกอก  บ้านบอน  นอกนั้นยังไม่มีบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันมีแต่บ้านร้าง  คือบ้านหนองสันเทพที่เป็นป่าช้าของบ้านมหาไชยทุกวันนี้  แต่ก่อนชาวบ้านมหาไชยจะไปเก็บมะม่วงที่บ้านร้าง  มีมะม่วงคำ  มะม่วงจำปา  มะม่วงกะสอ  มะม่วงแก้วซึ่งมีหลายต้นและจะมีต้นโพธิ์มีกุดกอง  คือที่มาของกุดกองทุกวันนี้  ที่บ้านเหล่าภูพาน  บ้านบากก็มีบ้านดอนงู  บ้านจะคาม  บ้านไผ่ล้อม  บ้านกกกอกและก็ย้ายไปอยู่บ้านกอกทุกวันนี้   สถานที่สำคัญก็มีภูแกลบกับภูพระเจ้า  สองวัดนี้จะมีพระพุทธรูปอยู่มากคือที่วัดภูแกลบ  ส่วนภูพระเจ้าจะมีพระพุทธรูปองค์เดียวแต่องค์ใหญ่เคยนำมาให้ชาวบ้านบูชาที่วัดถ้ำแกลบ  แล้วส่งคืนที่ถ้ำแต่มีผู้ทำไม่ดีไปตัดแขน ขา  หาทองคำจึงมีสภาพเสียหายแต่ยังคงความสมบูรณ์บ้างจนถึงทุกวันนี้  และอีกที่หนึ่งคือน้ำตกผาหลี่  แต่ก่อนผาหลี่จะมีลิ้นยื่นออกมาน้ำตกใส่ลิ้นจะเกิดเสียงดัง  เวลาฤดูฝนใกล้จะหมดจะได้ยินเสียงดังไปไกล  ทำให้ชาวบ้านเริ่มที่จะนำน้ำเข้านาเพราะหมายความว่าน้ำใกล้จะหมดแล้ว  แต่มีผู้มือบอนว่าลิ้นผาหลี่นี้เสียงดังจึงเอาก้อนหินไปทุบลิ้นหักจะได้ไม่ได้ยินเสียงให้ชาวบ้านหนวกหู  ซึ่งก็คือมหากิ  ศรีสุราช  พ่อของมหาอิน  ศรีสุราชนั่นเอง  สำหรับบ้านมหาไชยผู้ก่อตั้งคนแรกคือ  พ่อทำ  นามสกุลสุวรรณกุมาร  ทุกวันนี้คือนามสกุลจันทะขึ้น  มาจากบ้านหนองยางใต้และมหาสุธรรม  นามสกุลโพธิสาร  ทุกวันนี้คือนามสกุลธรรมประชา  มาจากบ้านหนองยางเหนือ  สาเหตุที่ได้มาตั้งบ้านนี้ก็คือทั้งสองท่านมาเยี่ยมญาติพี่น้องเมืองแซงบาดาลซึ่งสมัยนั้นเป็นเจ้าเมืองแซงบาดาล  พ่อทำ  สุวรรณกุมารกับลูกสองคน  คือ  ยายทาและปู่ทิ  สุวรรณกุมารยังเป็นเด็กเล็กอยู่ได้ปักเอาที่ดินที่อยู่อาศัยกว้างขวางจากบ้านจดนาแซง  นายสุริยธรรมเอานาโพธิ์ทุกวันนี้  พ่อทำเอานาหนองถ่มอีก  แต่ก่อนคนเราไม่มีเครื่องมือทำการเกษตร  ไม่มีจอบไม่มีขวานไม่มีมีด  ทำไร่ทำสวนก็เอาตามไฟไหม้แล้วหว่านข่าวปลูก  ข้าวไร่  พริกพอได้กินเท่านั้น  เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่มีใส่  มีใส่แค่ผืนเดียวเท่านั้นเวลาอาบน้ำก็แก้ผ้าอาบทั้งชายและหญิง  บ้านมหาไชยตั้งมาได้ประมาณสิบกว่าปีจึงมีลาวบ้านวังบอนมาอยู่ด้วยคืออยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของบ้านมหาไชย  ลาวบ้านวังบอนตั้งอยู่ที่ฝั่งห้วยพริก  ที่ตั้งบ้านดงบังทุกวันนี้  จะเห็นต้นมะม่วงหลายต้นอยู่ที่นั่น  พอสร้างโรงเรียนดงบังจึงถูกทำลายลง  สร้างอาคารวันเดียวตอนนั้นคุณตาวีระ  จันทะขึ้นยังเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอยู่  และอาจารย์มานะ  พลไกรสรเป็นอาจารย์ใหญ่  ลาวบ้านวังบอนมีผิวสีดำแดง  หัวล้านบ้างคือนามสกุล  จันทร์สะอาด  จันทะวิชัย  และสิงหาวาสน์  ได้เข้ามาอยู่บ้านมหาไชยด้วย  และอีกพวกหนึ่งคือนามสกุลดวงจักร์  และวิชัย  มาจากบ้านโพนสวาง  พวกหนึ่งมาจากเมืองภูแล่นช้างคือ  นามสกุลศรีพอ  และตาดวงษ์  นามสกุลแสนตาแสงมาจากหนองส่านและบ้านแก้งมดแดง  ปัจจุบันบ้านแก้งมดแดงอยู่ที่ภูเขาหลุบพุง  แต่ก่อนหลุบพุงหนาวมากและห่างไกลจากหมู่บ้านอื่นมาก  บ้านมหาไชยเมื่อลาวบ้านวังบอนมาอยู่ร่วมแล้วเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในสมัยนั้นจึงตั้งวัดขึ้นทางทิศตะวันตกของบ้านแต่ก่อนจะเห็นต้นมะพร้าวสูงใหญ่มาก  อยู่ที่บ้านครูกง  จันทะขึ้นหรือที่ของนางสุวรรณา  ธรรมประชาลูกสาวครูกง  น้องของพ่อคุณตาวีระ  จันทะขึ้น  จะเรียกชื่อว่าไห่หอกองจนถึงทุกวันนี้  อยู่มาชาวบ้านเห็นว่าวัดอยู่ใต้บ้านไม่เหมาะสมเพราะว่าเวลาทำอาหารตอนเย็นจะส่งกลิ่นไปยังพระคุณเจ้าจึงย้ายวัดตั้งใหม่ที่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน  แต่ก่อนบ้านเหนือ(หมู่ 3 ปัจจุบัน)ยังไม่มี  จะเป็นป่าดงดิบ  บ้านมหาไชยนับถือศาสนาพุทธทุกครอบครัว  มีหลวงพ่อเตย  เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกและมรณภาพคาผ้าเหลืองชาวบ้านจึงหามไปป่าช้าหนองสันเทพแต่ไปไม่ถึงศพพระขาดลงที่ดอนตาเตย  เราจึงเรียกดอนตาเตยจนถึงทุกวันนี้  ซึ่งเป็นที่บริเวณโรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยาทุกวันนี้  บ้านมหาไชยเรียกตาแสงเป็นผู้ใหญ่บ้าน  คือ  ปู่ทิศคำฝนเป็นพ่อของพ่อสิงห์  ธรรมประชา  เป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีเงินเดือนแต่มีอำนาจมาก  มีโปลิสอยู่ 2 คนคือ  โปลิสอัวะ  จันทะวิชัยและโปลิสป้อ  สิงหาวาสน์  ร่างใหญ่ผิวดำหัวล้าน  ครูเกรงกลัวมีอำนาจมากซึ่งก็คือตำรวจในปัจจุบันนี้  บ้านมหาไชยเป็นตำบลมหาไชย  ขึ้นกับอำเภอสหัสขันธ์  จังหวัดกาฬสินธุ์  ต่อมานายคำฝนเสียชีวิตลงจึงเลือกตั้งนายทน  ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน  สมัยก่อนกำนันทางการเขาแต่งตั้งมาเลยโดยนายหงษ์  สุภาพิษชาวบ้านอู้เป็นกำนันตำบลมหาไชยอยู่ที่บ้านอู้  ทางการแต่งตั้งให้นายคูณ  ภาวะภูตานนท์เป็นกำนันตำบลมหาไชย  กำนันคูณใช้มาตั้งบ้านอยู่ที่บ้านกอก  นายคูณตายช่วงนั้นบ้านมหาไชยแบ่งออกเป็น 2 หมู่  หมู่ที่ 12 เลือกเอามหาชา  ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้าน  ต่อมานายคูณตาย  ได้เอานายด้วง  จันทะขึ้นแทนชั่วคราวเรียกว่า  ขุนอักษร  หรือขุนจางวาง  ถึงช่วงนี้เกิดการสับสนขุนนราได้ขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านเรียกว่าขุนนรา  พันธุขันธ์  อยู่มาไม่นานให้มหาอุทัย  จรศรชัย  รักษาการแทนชั่วคราวจากนั้นทางการได้แต่งตั้งให้นายชา  ธรรมประชาเป็นกำนันตำบลมหาไชย  และเปลี่ยนชื่อเป็น  ขุนมหาไชยจนเสียชีวิต  นายพินิจ  ด้วงมหาไชยเป็นกำนันจึงขอเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลแซงบาดาล  ให้นายอิน  จรศรชัยเป็นผู้ใหญ่บ้าน  นายทน  ธรรมประชาให้นายกร  จันทะขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2  นายอินตาย  จึงแต่งตั้งนายกึ้น  จันทร์สะอาด  หมู่ที่ 8  แทน  นายกึ้นเมื่อก่อนเป็นผู้ใหญ่บ้านหนองแสงน้อย  หลังจากนายกรตาย  ได้เลือกนายไหล  พันธุขันธ์เป็นผู้ใหญ่บ้าน  นายไหลตายได้เลือกนายสุภาพ  ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านจนเกษียณอายุ  ได้เลือกตั้งนายสำเร็จ  ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านโดยกำหนดวาระ  5  ปี  แต่เป็นได้ปีเศษก็ขอลาออกจากตำแหน่งไปดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลมหาไชย  ได้มีการเลือกนายวนิส พันธุขันธ์แทนจนครบวาระปี พ.ศ.  2545  มีการเลือกตั้งใหม่ได้นายทรงวุฒิ  ธรรมประชาเป็นผู้ใหญ่บ้านจนถึงปัจจุบัน

     การแต่งกายของชาวบ้านมหาไชยชอบใส่เสื้อสีดำ  กระดุม  ผู้ที่มีเงินก็ใช้สตางค์แดงและเหรียญห้าเรียงทึบสีขาว  นอกนั้นตัดเป็นรูใช้ไม้ดัดรูกระดุมเอาไว้ผู้ดีมีเงินก็ทำผ้าเข็นเป็นผ้าไหม  สบู่ไม่มีต้องใช้เครือน้ำมวก  หมากหนามแท่งแช่ไว้ใส่ผ้าขาวหมักไว้นานๆถึงใส่ได้  เสื้อผ้าสีดำก็เอาสีธรรมชาติจากต้นครามนำมาแช่หมักไว้สี่ถึงห้าวัน  และไปเอาปูนที่เป็นก้อนหินที่ภูโล้น  แก้งผักหนามนำมาเผาเป็นถ่านนำก้อนปูนมาผสมกับครามที่เราหมักไว้จะได้สีดำเล่ากันว่ามือคนที่ทำจะดำหมด  ต้นครามยังมีประโยชน์คือใช้เป็นปุ๋ยสำหรับใส่นาข้าว  นาข้าวใครไม่งามหรือเป็นโรคเอามัดครามไปทิ้งไว้ตามที่นาที่เป็นโรค  จะหายและเขียวดี  เสื้อผ้าส่วนใหญ่ใช้เย็บด้วยมือเป็นหลัก  สมัยก่อนใครมีจักรเย็บผ้าจะเป็นคนร่ำรวย  บ่าวสาวสมัยก่อนชอบเรียนเย็บจักรกันมาก  ครู อาจารย์เมื่อก่อนเงินเดือนน้อยบางคนจึงลาออกไปค้าผ้ามาขาย    เงินเดือนครู 2,4,8  บาทเท่านั้น  ครูก็เรียน ป.3 ,ป4.เท่านั้น  คนเราจึงลงเรียนที่วัดเพราะไม่มีเงินเรียนอาศัยพระเป็นผู้สอน  สมัยก่อนใครได้สามีเป็นทิด  เป็นจารย์ก็ว่าดีแล้วเพราะเป็นคนมีความรู้  สมัยก่อนคนเราจึงชอบบวชมากเพื่อหาความรู้

     การสร้างบ้าน  ทำบ้านเมื่อก่อนก็เอาเครือมามัดพื้นก็ใช้ไม้ไผ่เปาะตามป่ามาทำ  หากเอาไม้ใหญ่มาทำก็ต้องผ่าเป็นกระดานไม้ที่ทำต้องใช้มีดถากเอาทั้งนั้น  กระดานมุงไม่มีตะปูตีเหมือนสมัยนี้ก็ใช้เหล็กเผาไฟเจาะเป็นรูแล้วใช้ไม้เสียบลงไปแทนตะปู

     แสงสว่าง  ก็ไปหาเก็บขี้ตกมาห่อทำกระบองหรือขี้ซี  ขี้ครางทำเป็นโฮงแล้วจุดไฟ  ผู้ที่ขยันก็จะไปเก็บขี้ยางหรือน้ำมันยางซึ่งต้นสูงใหญ่มาก  ไม้พวง  ไม้ชาด  มาห่อผสมกับขอนดอกใบตอง

กุงห่อมัดให้แน่นลืมละ  1  บาท  ลืมหนึ่งสิบเล่ม  ถ้าเป็นงานบุญใหญ่ก็ทำกระบองเพ็ด  โดยการอไม้ใหญ่มาผ่าสามส่วนแล้วเอาครุเก่ายัดขี้ครางใส่สามารถจุดไฟได้ตลอดคืน  ใครเข้าใกล้เสื้อผ้าดำหมดเราะควันดำมาก  สุราก็ทำเหล้าสาโทกินกัน  หรือเหล้ากลั่นที่ทำกันขึ้นมาเอง  อาหารที่ใช้ในงานบุญส่วนมากเขาจะไม่ฆ่าเนื้อเช่นทุกวันนี้แต่จะหาของป่าเลี้ยงแขก  ผักก็เป็นของป่า  และหาหมูป่า  ฟาน(เก้ง)  กวาง  แลน  เต่า  อีเห็น  เม่น  ปลา  กินกันจนเหลือ  ถ้าเป็นบุญมหาชาติที่ต้องไปทำบุญไกลๆจะมีพระและญาติโยมตามไปมากมายทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาว  เจ้าภาพจะทำผาม(เพิงหมาแหงน)ล้อมวัดหาที่นอนให้พระและญาติโยมที่มาทำบุญ  ญาติโยมที่เป็นบ่าวสาวก็จะนั่งตามผามที่ทำไว้และจะมีผู้บ่าวหรือผู้สาวมานั่งเป่าแคนจีบกันบางคู่จนได้แต่งงานกันจึงเป็นที่มาของการได้เมียบ้านไกลๆ  เป่าแคนจีบกันเป็นที่สนุกสนานมากไม่อึกทึกครึกโครมเช่นทุกวันนี้

     การแต่งงาน  สินสอดที่ใช้แต่งงานก็ไม่แพงเหมือนทุกวันนี้  ส่วนมาก  2  บาท  ถ้าเป็นลูกผู้ดีมีเงินก็ไม่เกิน  12  บาท  เวลาไปช่วยงานเขาจะอุ้มไก่ไปช่วยเพื่อให้นำไปฆ่าเลี่ยงแขก  ถ้าหากเหลือก็ให้นำไปเลี้ยงเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวไม่มีฆ่าวัวฆ่าควายเหมือนเช่นทุกวันนี้